ถอดรหัสธรรมล้านนา: เรื่องเล่าจากตำราโบราณแห่งน่านนคร
แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบตู้กระจก เผยให้เห็นคัมภีร์ใบลานและสมุดข่อยที่เรียงรายอยู่เงียบ ๆ แผ่นกระดาษสาสีเหลืองนวลที่ผ่านกาลเวลามานานหลายร้อยปี จารึกเรื่องราวด้วย “อักษรธรรมล้านนา” ตัวอักษรโบราณที่น้อยคนนักจะอ่านออกในปัจจุบัน
ทว่า…ในความเงียบงันนั้น อักขระแต่ละตัวกำลังบอกเล่าเรื่องราวของ “น่านนคร” ในวันที่รุ่งเรืองและเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์
นี่ไม่ใช่เพียงเอกสารโบราณที่มีคุณค่าเพียงอายุ แต่คือหน้าต่างที่เปิดไปสู่โลกอีกใบหนึ่ง โลกที่พาเราย้อนกลับไปได้ยินเสียงฆ้องกลองสงคราม สัมผัสได้ถึงความยำเกรงต่อผืนป่า และจิตวิญญาณแห่งป่าที่มองไม่เห็น รวมถึงหลากหลายเรื่องราวเกินจินตนาการของคนยุคปัจจุบันที่จะย้อนมองกลับ
ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ของพระครูปลัดปิยะ ธีรังกุโร เจ้าอาวาสวัดนาเหลืองใน จังหวัดน่าน ได้เปิดเผยถึงเรื่องราวมากมายที่ถูกฝังไว้ในหยดหมึกจากเอกสารโบราณอายุนับร้อยปี
ตำราแห่งผู้พิชิต และเสียงร้องของช้างศึก
ในหน้าประวัติศาสตร์ของน่าน เสียงฆ้องกลองไม่ได้ดังกระหึ่มเพียงเพื่อเฉลิมฉลอง แต่ยังเป็นสัญญาณแห่งสงคราม พงศาวดารเมืองน่านได้บันทึกภาพการรบพุ่งไว้อย่างมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะศึกระหว่างเจ้าแพงและเจ้าอินทะแก่นที่ทรงทำยุทธหัตถีที่ดอนสมุน โดยมีข้อความในพงศาวดารนครน่านบรรยายเหตุการณ์ยุทธหัตถีครั้งนั้นไว้ว่า
“เจ้าแพงขึ้นขี่ช้างตัวชื่อ ปราบจักรวาล ข้ามเหนือปากสมุน อินทะแก่นท้าวขึ้นขี่ช้างตัวชื่อ ขวานเป๊กช์ (เพชร) พระยามาร เข้าต่อช้างปราบจักรวาล ช้างขวานเป๊กช์เข้าสู้รับจับที่แม่น ปลายงาแด่นถูกไภงาสช้างปราบจักรวาล แส่นหงายคืนข้ามน้ำน่านไว้เป็นคือ ตั้งทัพอยู่เจ้าแพงว่าจักต่อสู้ชูชนหื้อถึงชนะและแพ้ว่าสันนั้น ยามนั้นอินทะแก่วท้าวขึ้นขี่ขวานเป๊กช์พระยามารข้ามน้ำน่านไล่เลยชน แพงท้าวบ่หน ฟันช้างทรงยศทรุดเข้า อินทะแก่นท้าวตีขวานเป๊กช์ มูบงาเสยตัดปลายงาปักเข้าปากช้างทรงยศเพิกเลิกคืน แก่นท้าวฟันง้าวจับถูกขาเจ้าแพงท้าวลวดมรณา”
ซึ่งภาพการรบด้วยช้างนี้เกิดขึ้นก่อนหน้ามหาสงครามยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสียอีก เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของช้างศึกเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียงการฝึกฝน แต่มีองค์ความรู้ที่ถูกส่งต่อกันในหมู่ชนชั้นปกครอง นั่นคือ “ตำราคชเวช” และ “ตำราคชลักษณ์” คัมภีร์โบราณที่ว่าด้วยการรักษาช้างและการดูลักษณะช้าง
ตำราเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงตัวอักษร แต่ยังมีภาพวาดลายเส้นอันงดงามประกอบ บอกเล่าถึงลักษณะของช้างแต่ละประเภท ว่าเหมาะกับภารกิจใด ไม่ว่าจะเป็นช้างศึก หรือช้างที่ใช้ในงานค้าขาย และราชพิธี สะท้อนความสมบูรณ์ของช้างในผืนป่าน่าน ทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ ช้างจากเมืองน่านถูกส่งไปร่วมปราบกบฏฮ่อในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช
ที่น่าอัศจรรย์ใจคือการส่ง “ช้างเผือก” และ “ช้างสีประหลาด” ไปถวายแด่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 2, 3 และ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
บันทึกโบราณยังกล่าวถึงเรื่องที่น่าตื่นเต้น เมื่อเจ้าเมืองน่านได้ถวาย “ลูกแรด” 1 ตัวแด่ราชสำนักสยาม ทำให้ชาวพระนครในสมัยนั้นได้ยลโฉมแรดตัวเป็น ๆ เป็นครั้งแรก หลังจากที่เคยเห็นแต่ในภาพวาดของจิตรกร ซึ่งบ้างก็วาดให้มีงวง บ้างก็วาดให้มีงาตามจินตนาการ
ตำรายาโบราณจากพืช
เอกสารโบราณที่เรียกว่า ‘ลานก้อม’ หน้าตาคล้ายตำราใบลานทั่วไป แต่สั้นกว่า ภายในลานก้อมมักบันทึกตำรับยาโบราณที่ปรุงด้วยพืชเพื่อใช้ในการรักษาโรคและบำรุงร่างกาย ตั้งแต่ยารักษาปัญหาทางเดินอาหาร แก้อาการปวดท้อง อาหารไม่ย่อย ไปจนถึงยาบำรุงผิวพรรณ ซึ่งแต่ละสูตรล้วนมีส่วนประกอบจากพืชต่างชนิด ถูกนำมาเตรียมด้วยวิธีอันหลากหลาย บ้างตากแห้ง บ้างนำมาต้มเป็นยาหม้อ บ้างใช้แก่นไม้มาฝนผสมกับน้ำเพื่อบรรเทาอาการ บ้างมีพิธีกรรมประกอบ
ล้วนสะท้อนภาพของการดูแลตัวเองของคนน่านในอดีต เมื่อครั้งยามเจ็บป่วยกายใจก็ใช้พืชที่มีสรรพคุณทางยา หรือหญ้ายา ทั้งเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และสร้างขวัญกำลังใจผ่านการพึ่งพิงทรัพยากรจากป่าอันอุดมสมบูรณ์
กฎหมายแห่งขุนเขาและสายน้ำค้ำจุนระเบียบบ้านเมืองน่าน
เมื่อย้อนกลับไป นครรัฐน่านในอดีตไม่ได้มีเพียงกำลังรบ แต่ยังปกครองบ้านเมืองด้วยกฎหมายของตนเองที่เรียกว่า “พระอาณาจักรหลักคำ” ซึ่งถูกตราขึ้นใช้มาตั้งแต่สมัยเจ้ามหาชีวิตเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 62 กฎหมายนี้อ้างอิงหลักศาสนาและวิถีชีวิตอย่างลึกซึ้ง ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องใหญ่ไปจนถึงเรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน
- การจัดการทรัพยากร: การจะนำวัวควายหรือช้างเข้าออกเมือง ต้องมีการแจ้งให้ทางการทราบ เพื่อป้องกันการลักขโมย ซึ่งมีบทลงโทษรุนแรงถึงขั้น “ตัดมือ”
- ปฏิทินแห่งชีวิต: มีการกำหนดฤดูกาลที่สามารถนำวัวควายมาใช้งานได้ และช่วงเวลาที่ต้องปล่อยคืนสู่ป่าเพื่อขยายพันธุ์
- กฎหมายรักษ์โลกฉบับโบราณ: หนึ่งในกฎหมายที่แสดงถึงวิสัยทัศน์อันก้าวไกล คือการห้ามทำการเกษตรในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำน่านนับขึ้นไป 20 วา เพื่อเป็นแนวกันชนป้องกันตลิ่งพังทลาย ซึ่งเป็นภูมิปัญญาในการบริหารจัดการน้ำและดินอย่างยั่งยืน
นอกจากกฎหมายสำหรับฆราวาสแล้ว ยังมี “พระอาณาจักรหลักสิม (สีมา)” ซึ่งเป็นกฎหมายสำหรับควบคุมดูแลคณะสงฆ์และสมณะชีพราหมณ์โดยเฉพาะ สะท้อนให้เห็นถึงสังคมที่ยึดโยงกับพระพุทธศาสนาอย่างเหนียวแน่น ดังคำกล่าวที่ว่า “วัดกับบ้านเหมือนง่ามค้ำกล้วย”
ศาสตร์แห่งการสร้าง: โลหะ ปูนปั้น และวิญญาณช่าง
ความรุ่งเรืองของน่านไม่ได้เกิดขึ้นจากโชคช่วย แต่มาจากองค์ความรู้เชิงช่างที่ถูกบันทึกและถ่ายทอดผ่านตำราต่าง ๆ
- โลหศาสตร์ คำซาว: ตำราที่ว่าด้วยการผสมโลหะ การหล่อเหล็ก ไปจนถึงการทำเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ตั้งแต่ฆ้องไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ หรือแม้กระทั่งการหล่อแร่เงินเพื่อใช้เป็นหน่วยในการและเปลี่ยนค้าขาย เช่น เงินท๊อกน่าน
- ตำราผสมปูน: เอกสารโบราณได้บันทึกสูตรการผสมปูนสำหรับการก่อสร้างไว้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างวิหารหรือองค์พระเจดีย์ ส่วนผสมไม่ได้มีเพียงปูนขาวกับดิน แต่ยังรวมถึง “น้ำเมือก” ที่ได้จากต้นเมือก หรือต้นหมูหมัน และ “น้ำหนัง” ที่เคี่ยวจากหนังสัตว์ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและการยึดเกาะ ตำรายังระบุแหล่งวัตถุดิบชั้นดี ว่าต้องไปเผาหินปูนจาก “ห้วยสาลีบ” แล้วขนมาด้วยเกวียนเพื่อผสมกับส่วนประกอบอื่น ๆ
จิตวิญญาณป่าน่านรักษาผืนดิน
สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดในตำราโบราณ อาจไม่ใช่เรื่องราวของสงครามหรือกฎหมาย แต่เป็นบันทึกที่สะท้อนความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่าง “คน” กับ “ป่า”
ในยุคที่การเดินทางต้องผ่านป่าเขาลำเนาไพรที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เสียงของขบวนคาราวานวัวต่างไม่ได้มีไว้เพื่อความครึกครื้น แต่เพื่อขับไล่สัตว์ป่า มีการตั้งเงินรางวัลสำหรับผู้ที่สามารถฆ่าเสือได้เพื่อความปลอดภัยของส่วนรวม
เมื่อขบวนคาราวานหยุดพักแรม ณ ที่ใด พวกเขาจะทำพิธี “เลี้ยงผี” หรือที่เรียกว่า “ผีผางลาง” ซึ่งเป็นวิญญาณเจ้าที่เจ้าทาง เพื่อขอบคุณที่คุ้มครองให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ความเชื่อและความยำเกรงต่อสิ่งที่มองไม่เห็นนี้เอง ที่กลายเป็นกุศโลบายสำคัญในการรักษาผืนป่าของน่าน
หัวใจของการอนุรักษ์อยู่ที่ความเชื่อเรื่อง “ผีขุนน้ำ” หรือวิญญาณที่สถิตอยู่ ณ ป่าต้นน้ำ คนโบราณเชื่อว่าป่าทุกแห่งมีผีขุนน้ำคอยดูแลรักษา และจะไม่มีใครกล้าล่วงล้ำเข้าไปตัดไม้ทำลายป่าโดยเด็ดขาด
ทุก 3-4 ปี ชาวบ้านที่ใช้น้ำจากลำห้วยนั้น ๆ จะต้องร่วมกันทำพิธี “พลีกรรม” หรือบวงสรวงครั้งใหญ่ โดยมักจะใช้ “ควายดำ” เป็นเครื่องสังเวย และมีข้อห้ามเด็ดขาดว่า เนื้อของเครื่องเซ่นไหว้นั้นต้องรับประทานให้หมดภายในเขตป่า ห้ามนำกลับไปกินที่บ้านโดยเด็ดขาด
ความเชื่อนี้อาจดูเป็นเรื่องงมงายในสายตาคนยุคใหม่ แต่แท้จริงแล้วมันคือภูมิปัญญาชั้นสูงที่สอนให้คนเคารพและปกป้องธรรมชาติ เพราะป่าคือชีวิต คือต้นกำเนิดของสายน้ำที่หล่อเลี้ยงทุกคน และเพราะกุศโลบายจากบรรพบุรุษนี้เอง ที่ทำให้จังหวัดน่านยังคงมีผืนป่าอุดมสมบูรณ์เหลืออยู่กว่าร้อยละ 25 ของพื้นที่ทั้งหมดจนถึงทุกวันนี้
การถอดรหัสธรรมล้านนาในตำราโบราณของน่าน จึงไม่ใช่แค่การแปลภาษา แต่คือการปลุกจิตวิญญาณของอดีตให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทำให้เราเห็นว่าบรรพบุรุษของเราไม่ได้ใช้เพียงดาบในการสร้างบ้านแปงเมือง แต่ยังใช้ปัญญาในการปกครอง ใช้ความเคารพในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ การใช้พืชยามารักษาร่างกาย และใช้ศรัทธาในการหล่อหลอมจิตใจของผู้คนมรดกที่แท้จริงที่พวกเขาฝากไว้ อาจไม่ใช่แค่วัดวาอารามหรือสมบัติล้ำค่า แต่คือ “จิตวิญญาณ” แห่งการเป็นผู้พิทักษ์ ที่ยังคงไหลเวียนอยู่ในสายเลือดและสายน้ำของน่านนคร…รอให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และสืบสานต่อไป หญ้ายา มรดกน่าน มรดกโลก