เปิดตำราสมุนไพรล้านนา สุขภาพดีวิถีชาวเหนือ
ภาคเหนือของประเทศไทยเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย ด้วยภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง ดินมีความอุดมสมบูรณ์เนื่องจากมีป่าต้นน้ำหลายแห่ง จึงทำให้พืชพรรณต่าง ๆ เติบโตได้ดี โดยเฉพาะ ‘สมุนไพร’ ที่มีคุณค่าและสรรพคุณทางยา เป็นตัวช่วยเสริมสุขภาพและรักษาอาการเจ็บป่วยตามตำรับยาโบราณมานมนาน
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักสมุนไพรพื้นเมืองของภาคเหนือที่ขึ้นชื่อและควรค่าแก่การอนุรักษ์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ตามภูมิปัญญาของชาวเหนือกันค่ะ
1. ขมิ้นชัน (Curcuma longa)
สมุนไพรขึ้นชื่อที่รู้จักกันดีทั่วประเทศ ในภาคเหนือมีการใช้ขมิ้นชันอย่างแพร่หลายในหลากหลายรูปแบบ ทั้งในอาหารและยา มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงตับ ลดการอักเสบในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ และโรคผิวหนังต่าง ๆ ได้อีกด้วย
ในปัจจุบัน ขมิ้นชันถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในยาแผนโบราณและยาแผนปัจจุบันอย่างแพร่หลาย และยังมีการนำสารสกัดมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางต่าง ๆ เช่น ครีมบำรุงผิวหรือสบู่อาบน้ำ
2. ไพล (Zingiber montanum)
สมุนไพรที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและมีสรรพคุณทางยามากมาย ชาวเหนือนิยมใช้ไพลในการรักษาอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก โดยนำมาทำเป็นลูกประคบหรือนำมาทาที่ผิว และยังช่วยขับเลือด ทั้งจากการอาเจียนเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล หรือการปวดประจำเดือน นอกจากนี้ ไพลยังช่วยขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อได้ดี
3. ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata)
สมุนไพรที่เป็นที่รู้จักของคนไทยเพราะมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในช่วงโควิดระบาดที่ผ่านมา มีรสขมจัด สามารถรักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ มีสรรพคุณช่วยลดไข้ แก้เจ็บคอ บรรเทาอาการหวัด และลดอาการอักเสบ เพราะสารสำคัญในฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ในปัจจุบันจึงมีการนำฟ้าทะลายโจรมาผลิตเป็นยาแคปซูล เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการรับประทาน
4. หญ้าหนวดแมว (Orthosiphon aristatus)
สมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ลดการสะสมของสารพิษในร่างกาย ลดความดันโลหิต ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและรักษาโรคไต ชาวเหนือนิยมใช้หญ้าหนวดแมวในการรักษาอาการปัสสาวะขัดและโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ โดยนำหญ้าหนวดแมวมาต้มให้เป็นน้ำดื่ม หรือใช้ใบสดมาบีบหรือนวดบริเวณที่มีอาการเจ็บปวด
5. เพชรสังฆาต (Cissus quadrangularis)
สมุนไพรเถาไม้เลื้อยที่พบได้ในภาคเหนือ เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อ ช่วยสมานกระดูกที่แตกหักหรือร้าว ช่วยลดอาการปวดบวม และส่งเสริมการสร้างเนื้อเยื่อกระดูก โดยชาวบ้านมักนำเถาเพชรสังฆาตมาตำละเอียด แล้วนำไปพอกบริเวณที่กระดูกหัก
นอกจากนั้น เพชรสังฆาตยังมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบและบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงได้ โดยการนำเถาไปตากให้แห้งแล้วนำมาต้มดื่ม ก็สามารถขับลมในลำไส้ แก้ท้องผูก บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้เช่นกัน
6. มะแข่น (Zanthoxylum myriacanthum)
พืชสมุนไพรพื้นเมืองของภาคเหนือที่มีลักษณะคล้ายพริกไทยและเป็นเครื่องเทศสำคัญในอาหารล้านนา โดยเฉพาะในอาหารประเภทแกงและน้ำพริก มีรสเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
มะแข่น มีสรรพคุณหลักช่วยขับลม แก้ท้องอืด รวมถึงการย่อยอาหาร และบรรเทาอาการหวัดต่าง ๆ ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราในช่องปากได้
7. กวาวเครือ
พืชสมุนไพรที่มีชื่อเสียงในด้านการบำรุงร่างกายและฮอร์โมนและสามารถแตกย่อยออกเป็น 4 ชนิดด้วยกัน ซึ่งแต่ละชนิดก็มีสรรพคุณแตกต่างกัน
- กวาวเครือขาว – ช่วยบำรุงฮอร์โมนเพศหญิง บำรุงผิวพรรณ มักจะใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- กวาวเครือแดง – ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต มีคุณสมบัติเป็นยาอายุวัฒนะและบำรุงร่างกาย
- กวาวเครือดำ – เป็นชนิดที่หายากที่สุด มีฤทธิ์แรงกว่ากวาวเครือแดง ใช้เป็นยาอายุวัฒนะและกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตเช่นกัน
- กวาวเครือเหลือง – มีสรรพคุณคล้ายกวาวเครือขาว แต่ฤทธิ์อ่อนกว่า ชนิดนี้จะช่วยบำรุงร่างกายและระบบประสาทได้ดี
8. สมอพิเภก (Terminalia bellirica)
สมุนไพรพื้นเมืองที่พบได้ทั่วไปในภาคเหนือของไทย และเป็นหนึ่งในสามส่วนประกอบหลักของตำรับยาไทยที่เรียกว่า “ตรีผลา” อันประกอบไปด้วย สมอพิเภก สมอไทย และมะขามป้อม
สมอพิเภกมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับสารพิษในร่างกาย ลดอาการท้องผูก และบรรเทาอาการเจ็บคอ ไอและช่วยขับเสมหะ ลดระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยควบคุมระดับไขมัน นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยบำรุงตับ โดยการนำผลมาต้มดื่ม อาจต้มกับน้ำผึ้งเพื่อให้ดื่มได้ง่ายขึ้น
พืชสมุนไพรพื้นเมืองของภาคเหนือเป็นสิ่งที่ควรรักษาและส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ไม่เพียงแต่ช่วยบำรุงสุขภาพตามแนวทางธรรมชาติ แต่ยังเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่มีคุณค่าต่อชุมชนและประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ การใช้สมุนไพรควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร เพื่อป้องกันผลข้างเคียงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นด้วยนะคะ
ข้อมูลอ้างอิง
- ศุนย์ข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
https://medplant.mahidol.ac.th/herb-drug/hd_plant.asp?db=1&bc=0089&pg=1
https://medplant.mahidol.ac.th/herb-drug/hd_plant.asp?db=1&bc=0324&pg=1
https://medplant.mahidol.ac.th/herb-drug/hd_plant.asp?db=1&bc=0723&pg=1