‘วิทยาศาสตร์’ หัวใจหลักของการพัฒนายาจากพืช

ทุกคนเคยคิดหรือไม่ว่า ‘หากโลกนี้ไม่มีวิทยาศาสตร์จะเป็นอย่างไร?’ เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาทุกสิ่งรอบตัวเราล้วนเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น พัดลม ทีวี ตู้เย็น ทุกสิ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากการนำหลักของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง และนักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่หยุดคิดค้นแนวทางในการพัฒนาสิ่งต่าง ๆ รอบตัวที่เกิดขึ้นโลกให้มีความก้าวหน้าล้ำสมัยอยู่ตลอดเวลา จึงเรียกได้ว่า ‘วิทยาศาสตร์’ มีบทบาทในการใช้ชีวิตของทุกคนอย่างยิ่ง

โลกถูกขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์

โลกเราทุกวันนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ คำนี้ไม่เกินจริงและทุกคนต่างรู้ดีว่าวิทยาศาสตร์มีบทบาทต่อสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านการใช้ชีวิตที่ทุกวันนี้เราต่างพึ่งพากระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างความสะดวกสบาย การเดินทาง ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ หรือแม้แต่ในด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์เองก็ได้เข้ามามีส่วนช่วยให้มนุษย์ได้มีมุมมองกว้างไกลในการนำความรู้ใหม่หรือผลการทดลองใหม่ ๆ มาพัฒนาความรู้และคุณภาพความเป็นอยู่ของผู้คนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบก็คือ อาหารการกินแต่ละอย่างของเราก็มีส่วนมาจากการพัฒนาด้วยกลไกของวิทยาศาสตร์เช่นกัน เราจะไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าอาหารชนิดใดมีสารสำคัญที่ร่างกายต้องการได้รับมากน้อยแค่ไหน หากไม่มีการวิจัยออกมา และเมื่อเรารู้ว่าสารอาหารที่ต้องการมีเท่าไหร่ เราก็จะสามารถบริโภคอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือแม้แต่อาหารทางเลือกอย่าง Plant Base Food ทุกขั้นตอนและกระบวนการให้ได้มาซึ่งอาหารที่มีคุณภาพ รสชาติ กลิ่น หรือลักษณะคล้ายกับเนื้อสัตว์จริง ๆ ล้วนต้องใช้เวลาและการศึกษาวิจัยอย่างหนักเช่นกัน ดังนั้น เราจะเห็นว่าวิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่ช่วยอำอวยความสะดวกด้านเครื่องใช้ หรือการคมนาคมเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงอาหารทางเลือกใหม่ ๆ ที่ช่วยเรื่องสุขภาพได้อีกด้วย

บทบาทของวิทยาศาสตร์ต่อยารักษาโรค

อีกส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตของมนุษย์ทุกคนก็คือ ‘ยารักษาโรค’ ที่ผ่านมาทุกคนล้วนเคยหาหมอเข้าโรงพยาบาล แต่เคยคิดกันไหมว่าหากเราไม่มียารักษาโรคที่ใช้กันอยู่ทุกวันจะทำอย่างไร บางคนอาจจะคิดว่าเราอาจจะหาพืชหรือหญ้าจากในป่ามาทำเป็นยารักษาโรคแทน เนื่องจากที่ผ่านมาก็มีงานวิจัยหลายตัวยืนยันว่าพืชของไทยหลายชนิดมีฤทธิ์ที่ช่วยในการรักษาโรค เห็นได้จากผู้คนสมัยก่อนแม้การแพทย์และะสาธารณสุขจะเข้าไม่ถึง แต่คนเหล่านั้นกลับมีอายุที่ยืนยาวและสามารถดำรงชีวิตได้เป็นปกติ นั่นก็เป็นเพราะการหมั่นสังเกตและเห็นคุณค่าของพืชไทยในแง่ของการนำมาเป็นยารักษาโรคนั่นเอง

แต่หากเปรียบเทียบกับยุคสมัยนี้ ความต้องการของคนก็เปลี่ยนไปและทุกอย่างจะต้องก้าวไปข้างหน้า แม้จะมีพืชไทยหลายชนิดที่ได้รับการรับรองว่าสามารถใช้กิน ดื่ม เพื่อบรรเทาอาการป่วยได้จริง แต่ที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้เลยว่าปริมาณยาที่เราต้มดื่ม หรือที่บดผงกินกันนั้นเป็นปริมาณที่มากหรือน้อยเพียงใด ได้แต่หมั่นสังเกตและคาดเดาเอา ทำให้หลายคนหันไปพึ่งยาเคมีหรือยาแผนปัจจุบันที่มีการระบุปริมาณของสารสำคัญที่แน่ชัด ที่สำคัญน่าเชื่อถือและผ่านการรับรองจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะดีกว่าหรือไม่หากทุกคนสามารถบริโภคยาจากพืชได้อย่างมั่นใจเช่นเดียวกับการบริโภคยาเคมี

หัวใจหลักของการพัฒนายาจากพืช

หัวใจหลักสำคัญที่จะเข้ามาช่วยพัฒนายาจากพืชให้ก้าวไกลได้นั่นก็คือ ‘วิทยาศาสตร์’ เฉกเช่นเดียวกับการพัฒนาด้านอื่น ๆ เพราะการจะหวังให้พืชยานั้น ๆ มีประสิทธิภาพ เราไม่ควรปลูกและนำมาบริโภคแบบเดิม จำเป็นต้องเริ่มวิเคราะห์เปรียบเทียบกันตั้งแต่ขั้นตอนของการปลูก ขั้นตอนการเก็บรักษา นำไปสู่การนำมาวิเคราะห์สารสกัดที่อยู่ในพืช สกัดออกมาให้ได้เพียงตัวยาที่ดีที่สุด และทำออกมาในรูปแบบของยาสมัยใหม่ จากนั้นก็ต้องมีการวิจัยว่ายาที่ได้มีประสิทธิผลในการรักษาโรคได้อยากชะงัดจริง และจึงจะเข้าสู่กระบวนการเผยแพร่ให้ความรู้ผู้คนเกี่ยวกับยาจากพืชรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยาจากเคมี

ปัจจัยหลักที่ทุกคนควรหันมาสนับสนุนและผลักดันให้เกิดการนำยาจากพืชมาพัฒนาสู่การเป็นยาสมัยใหม่ที่เชื่อถือได้นั้น ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ป่วยได้ใช้ยาที่ปราศจากสารเคมี แต่ยังเป็นการช่วยอนุรักษ์ป่าไม้ไม่ให้ถูกทำลาย เมื่อทุกคนเห็นคุณค่าของยาที่หาได้จากป่าเมื่อนั้นปัญหาการทำลายป่าไม้ก็จะน้อยลงเช่นกัน

Post a comment