เภสัชศาสตร์กับสมุนไพรไทย: นวัตกรรมใหม่ของอุตสาหกรรมยา
สมุนไพรไทยถือเป็นขุมทรัพย์ทางธรรมชาติที่บรรพบุรุษได้สั่งสมองค์ความรู้ในการนำสมุนไพรใกล้ตัวมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์มาตั้งแต่โบราณ ปัจจุบัน แม้จะอาศัยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาและผลิตยาเพื่อรักษาโรค แต่อุตสาหกรรมยายังคงให้ความสนใจกับสมุนไพรไทย โดยใช้หลักเภสัชศาสตร์เข้ามามีบทบาทสำคัญ ในการนำสมุนไพรไทยมาพัฒนาเป็นนวัตกรรมยาใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ยาที่พัฒนาจากสมุนไพรไทย
ตามนิยามในพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร กล่าวไว้ว่า ยาพัฒนาจากสมุนไพร คือ ยาที่ได้จากสมุนไพรโดยตรงหรือที่ได้จากการผสม ปรุง หรือแปรสภาพสมุนไพรเดิมขึ้นมาเป็นยาที่ไม่ใช่ยาแผนไทยหรือยาตามองค์ความรู้การแพทย์ทางเลือก มาใช้เพื่อการบำบัด รักษา และบรรเทาความเจ็บป่วยของหรือไว้สำหรับป้องกันโรค ซึ่งต้องใช้เอกสารทางวิทยาศาสตร์เพื่อมาสนับสนุนคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพในแต่ละตัวด้วย
ยาพัฒนาจากสมุนไพร สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทให้เข้าใจง่าย ๆ ได้แก่
- ยาพัฒนาจากความรู้ดั้งเดิม เป็นยาที่พัฒนาต่อยอดจากยาแผนโบราณที่มีการใช้รักษาจริง โดยอาศัยความรู้ทางเภสัชศาสตร์มาปรับปรุงรูปแบบของยา สูตรของยา ความแรงของยา ขนาดการใช้ยา ลักษณะการปลดปล่อยยา และคงตัวยาสำคัญจากสมุนไพรไว้ตามสูตรตำรับเดิม แต่จะใช้กรรมวิธีการผลิตยาให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น
ยาแคปซูลฟ้าทะลายโจร หรือ ยาขมิ้นชันในรูปแบบเม็ด
- ยาที่ยอมรับในทางการแพทย์ เป็นยาสมุนไพรที่มีการใช้ในประเทศมาอย่างน้อย 10 ปี มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ มีข้อมูลปรากฏในเอกสารทางวิชาการเพียงพอที่สนับสนุนประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ให้เป็นที่ยอมรับในทางการแพทย์
ตัวอย่างเช่น
สารสกัดขมิ้นชันที่ใช้ในการรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ หรือ ยาจากสารสกัดมะขามแขกที่ใช้เป็นยาระบาย
- ยาที่พัฒนาจากงานวิจัย เป็นยาตามองค์ความรู้การแพทย์ทางเลือกอื่น โดยผ่านการวิจัยและพัฒนาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีการระบุวิธีการใช้และมีหลักฐานจากการวิจัยทางคลินิกในผู้ป่วยเพื่อยืนยันประสิทธิผล
ตัวอย่างเช่น
สาร Andrographolide จากฟ้าทะลายโจร มีฤทธิ์ต้านไวรัส เสริมภูมิคุ้มกัน และใช้รักษาอาการติดเชื้อทางเดินหายใจ
- ยาจากสมุนไพรชนิดใหม่ ไม่ได้อ้างอิงหรือใช้ตามสูตรตำรับสมุนไพรดั้งเดิม ต้องอาศัยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อย่างเข้มงวด มีการสกัดสารสำคัญให้บริสุทธิ์และทราบสูตรโครงสร้างที่ชัดเจน
ตัวอย่างเช่น
Panduratin A จากกระชายขาว มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส กำลังได้รับการวิจัยเพื่อพัฒนาเป็นยารักษาอาการติดเชื้อ
บทบาทของเภสัชศาสตร์ในการพัฒนาสมุนไพรไทย

การวิจัยและพัฒนายาสมุนไพร
วงการเภสัชศาสตร์มีส่วนช่วยอย่างมากในการทำวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับสมุนไพรไทยร่วมกันกับนักวิทยาศาสตร์ เพื่อค้นหาสารออกฤทธิ์ที่มีศักยภาพในการรักษาโรค รวมถึงการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อพิสูจน์สรรพคุณและความปลอดภัยของสมุนไพรที่จะนำมาผลิตยา นำไปสู่การพัฒนารูปแบบยาที่เหมาะสม เช่น ยาเม็ด แคปซูล ครีม หรือเจล เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ
การพัฒนาวิธีการสกัดสารสำคัญ
การใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น การสกัดด้วยตัวทำละลายชนิดพิเศษ (Supercritical Fluid Extraction) และนาโนเทคโนโลยี ช่วยเพิ่มความเข้มข้น เพิ่มประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์และเพิ่มการดูดซึมของสารสำคัญเข้าสู่ร่างกาย
การกำหนดมาตรฐานและควบคุมคุณภาพยาสมุนไพร
เพื่อให้สมุนไพรไทยสามารถใช้เป็นยาได้อย่างปลอดภัย เภสัชศาสตร์จึงเข้ามามีบทบาทในการกำหนดมาตรฐานและการควบคุมคุณภาพ เช่น กำหนดเกณฑ์คุณภาพของวัตถุดิบและสารสำคัญในสมุนไพร ควบคุมกระบวนการผลิตโดยใช้หลักเกณฑ์ GMP (Good Manufacturing Practice) และคอยตรวจสอบความปลอดภัย ด้วยการวิเคราะห์สารปนเปื้อนและเช็คผลข้างเคียงของสมุนไพร
การบูรณาการเภสัชกรรมแผนไทยและแผนปัจจุบัน
สนับสุนให้มีการศึกษาการใช้สมุนไพรไทยร่วมกับยาแผนปัจจุบันอย่างปลอดภัย โดยมีเภสัชกรทำหน้าที่ให้ข้อมูล ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้สมุนไพรไทยให้ถูกต้องและเหมาะสม รวมถึงข้อควรระวังในการใช้ การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ยาอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งวิธีเพิ่มทางเลือกในการรักษาโรคให้กับผู้ป่วย
อนาคตของเภสัชศาสตร์กับสมุนไพรไทย
ปัจจุบัน เภสัชศาสตร์ของไทยมีศักยภาพสูงในการสร้างนวัตกรรมยาใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นทั้งในระดับประเทศและระดับโลก โดยกระแสสากลกำลังไปในทิศทาง Back to Nature จึงทำให้สมุนไพรไทยควรค่าแก่สนับสนุนจากทุกภาคส่วน ในการผลักดันการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ยาจากสมุนไพรไทย มอบประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพคนไทยอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ข้อมูลอ้างอิง